ในตลาดอีคอมเมิร์ซไทยที่เติบโตต่อเนื่องเฉลี่ยปีละราว 10% สิ่งที่ร้านค้าแข่งขันกันวันนี้ ไม่ใช่แค่ราคา หรือ โปรโมชัน แต่คือประสบการณ์ที่ลูกค้าได้รับตั้งแต่คลิกแรกจนถึงหลังการขาย
และหัวใจของการสร้างประสบการณ์เหล่านั้นก็คือ CMS e-Commerce ระบบที่อยู่เบื้องหลังร้านค้าออนไลน์ทั้งหมด ตั้งแต่จัดการสต็อกสินค้า ระบบชำระเงิน ไปจนถึงการจัดส่งถึงมือลูกค้า
แต่คำถามคือ… CMS แบบไหนเหมาะกับธุรกิจในไทยจริง ๆ? เราจะพาคุณมาดูปัจจัยสำคัญที่ควรรู้ ก่อนเลือกระบบที่ตอบโจทย์ทั้งการขายและการเติบโต
CMS e-Commerce คืออะไร
หากคุณเคยสร้างเว็บไซต์ด้วยตัวเอง คุณคงคุ้นกับคำว่า CMS หรือ Content Management System ซึ่งสิ่งนี้คือ ระบบจัดการเนื้อหาและร้านค้าออนไลน์ ที่ช่วยให้เจ้าของร้านเพิ่มสินค้า อัปเดตข้อมูลหน้าเว็บ หรือจัดการออเดอร์ได้ในที่เดียว โดยไม่ต้องเขียนโค้ดเอง
และเมื่อธุรกิจโตขึ้น ความต้องการของคุณจะไม่ได้มีแค่เว็บไซต์ที่ดูดี เพราะสิ่งที่แบรนด์ต้องการสำหรับเว็บไซต์ธุรกิจคือ “ระบบหลังบ้าน” ที่รองรับการขายหลายช่องทาง เชื่อมต่อการชำระเงิน และบริหารได้ครบวงจร ซึ่งทั้งหมดนี้คือหน้าที่ของ CMS อีคอมเมิร์ซ

[Photo by Lavi Perchik on Unsplash]
ต้องเลือกอย่างไร ถึงจะเจอระบบที่ใช่สำหรับธุรกิจ
เกณฑ์การคัดเลือก CMS e-Commerce ของแต่ละแบรนด์คงมีความต้องการที่แตกต่างกันออกไป แต่เราจะสรุปปัจจัยคร่าว ๆ ที่ทุกธุรกิจควรคำนึงถึง
- ใช้งานง่าย ทีมงานไม่ต้องพึ่งพาโปรแกรมเมอร์ทุกครั้งที่จะแก้เว็บไซต์
- รองรับช่องทางขายยอดนิยมในไทย เช่น Shopee, Lazada, LINE, TikTok, Facebook
- มีระบบชำระเงินปลอดภัย เช่น PromptPay, โอนผ่านธนาคาร หรือบัตรเครดิต
- เชื่อมต่อระบบจัดส่งอัตโนมัติ เช่น Kex, Flash, ไปรษณีย์ไทย
- ปรับแต่ง SEO ได้ ให้ร้านค้นเจอง่ายบน Google
- ผ่านมาตรฐาน PDPA และภาษี VAT 7%
- มีทีมดูแลภาษาไทย ที่ให้คำปรึกษาได้จริง
“รู้หรือไม่? ไทยมีโครงสร้างการจ่ายเงินดิจิทัลนำโดย PromptPay และตลาดอีคอมเมิร์ซขยายตัวต่อเนื่อง แบรนด์จึงควรให้ความสำคัญกับการรองรับการจ่ายเงินและกำกับดูแลข้อมูลส่วนบุคคล”
9 CMS e-Commerce น่าสนใจสำหรับแบรนด์ไทย
- Adobe Commerce (Magento)
- BigCommerce
- LnwShop Pro
- OpenCart
- PrestaShop
- Shopify
- Shopline
- Wix eCommerce
- WooCommerce
1) Adobe Commerce (Magento) – ยืดหยุ่นสูงสำหรับองค์กรใหญ่
Magento เป็น CMS ที่ยืดหยุ่นสูงและทรงพลังมาก เหมาะกับองค์กรที่มีทีม Dev ในบ้าน สามารถสร้างฟีเจอร์เฉพาะธุรกิจ เช่น ระบบสมาชิกซับซ้อน หรือ B2B Marketplace
จุดเด่น:
- ระบบปรับแต่งขั้นสูง รองรับหลายภาษา หลายคลังสินค้า
- มีฟีเจอร์ Enterprise เช่น Catalog Permission, Customer Segment, Page Builder, Multi-Source Inventory
- เชื่อมต่อระบบ ERP/CRM ได้
เหมาะกับ องค์กรขนาดใหญ่ที่มีทีมเทคนิคดูแลโดยเฉพาะ 🔗 business.adobe.com/products/commerce/magento.html

2) BigCommerce – Open SaaS ที่ยืดหยุ่นเหมาะกับแบรนด์เติบโตเร็ว
BigCommerce เป็น Open SaaS ที่ให้อิสระในการปรับแต่งระบบ และเชื่อมต่อแอปต่าง ๆ ได้ง่าย เหมาะกับแบรนด์ขนาดกลางถึงใหญ่ ที่ต้องการจัดการหลายร้านในหลังบ้านเดียว
จุดเด่น:
- รองรับ Multi-Storefront
- ผสานระบบ ERP และ CRM ได้
- มี API เปิดให้นักพัฒนาทำ Integration เพิ่มเติม
เหมาะกับ แบรนด์ที่มีหลายตลาด หลายประเทศ และต้องการระบบที่ขยายได้ 🔗 bigcommerce.com

3) LnwShop Pro – ระบบครบจบในที่เดียว ออกแบบมาเพื่อแบรนด์ไทย
สำหรับเจ้าของร้านที่ต้องการระบบที่พร้อมขายตั้งแต่วันแรก LnwShop Pro เป็น CMS ที่ออกแบบมาเพื่อผู้ค้าคนไทยโดยเฉพาะ ไม่ต้องลงปลั๊กอินเอง ไม่ต้องตั้งเซิร์ฟเวอร์ หลังบ้านใช้งานง่ายเหมือน Dashboard มืออาชีพ เชื่อมช่องทางขายหลักได้ครบ ทั้ง Shopee, Lazada, LINE, TikTok, Facebook, Instagram และ Google Shopping
จุดเด่น
- เชื่อมทุกช่องทางขาย (Omnichannel & Multi-Channel) จากหลังบ้านเดียว
- ระบบชำระเงิน LnwPay ปลอดภัย มีระบบคุ้มครองทั้งร้านค้าและลูกค้า รองรับหลายช่องทางการรับเงิน โอนเงินผ่านบัญชีธนาคาร, บัตรเดบิต/บัตรเครดิต, e-Wallet, ShopeePay ฯลฯ
- รองรับ SEO, สถิติการขาย, Conversion API, เครื่องมือโฆษณา, ระบบโปรโมชั่นแบบอัตโนมัติ, ระบบหลายภาษา, ระบบัญชีและภาษี
ฯลฯ - มีทีมซัพพอร์ตภาษาไทยพร้อมช่วยเหลือ
เหมาะกับ ร้านค้าทุกขนาด โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการระบบพร้อมใช้และขยายได้ในระยะยาว 🔗 www.lnwshop.com/pro
4) OpenCart – โอเพนซอร์ส น้ำหนักเบา ปรับแต่งเอง
OpenCart เป็นระบบโอเพนซอร์สที่เปิดให้ปรับแต่งได้ทุกอย่าง เหมาะกับร้านที่มีนักพัฒนาในทีม
จุดเด่น:
- ไม่มีค่ารายเดือน ซอฟต์แวร์ฟรี
- มีส่วนเสริมมากกว่า 13,000 รายการ
- รองรับหลายภาษาและสกุลเงิน
เหมาะกับ ผู้มีพื้นฐานเทคนิคหรือทีม Developer ช่วยดูแลเอง 🔗 opencart.com

5) PrestaShop – โอเพนซอร์สพร้อม Addons ทางการ
PrestaShop เป็นอีกหนึ่งโอเพนซอร์สที่ได้รับความนิยมในยุโรป มีโมดูลเสริมสำหรับการตลาด การชำระเงิน และการจัดการสินค้า
จุดเด่น:
- ระบบหลังบ้านเข้าใจง่ายกว่า Magento
- มี Addons Marketplace ให้ซื้อฟีเจอร์เพิ่ม
- รองรับระบบภาษีและบัญชีสินค้าอย่างละเอียด
เหมาะกับ ธุรกิจขนาดกลางที่ต้องการระบบยืดหยุ่นแต่ไม่ซับซ้อน 🔗 prestashop.com

6) Shopify – ระบบครบวงจรระดับโลก พร้อมเครื่องมือ AI
Shopify คือแพลตฟอร์มที่โด่งดังระดับสากล จุดเด่นคือใช้งานง่ายและมีแอปเสริมให้เลือกมากมาย เหมาะสำหรับร้านที่ต้องการขยายตลาดต่างประเทศ หรือใช้สกุลเงินหลายแบบ
จุดเด่น:
- มีเทมเพลตสำเร็จรูปคุณภาพสูง
- รองรับการชำระเงินทั่วโลก รวมถึงบัตรเครดิตและ PayPal
- ระบบโฮสติ้งและความปลอดภัยครบในตัว
- เชื่อมต่อช่องทางขายได้หลายแพลตฟอร์ม
- มี AI Builder ช่วยตั้งร้านอัตโนมัติจากคีย์เวิร์ด
เหมาะกับ ผู้เริ่มต้นที่อยากขายทั่วโลก หรือแบรนด์ที่ต้องการระบบสากล 🔗 shopify.com

7) Shopline – ตัวเลือกยอดนิยมในเอเชีย
Shopline โฟกัสตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเฉพาะ มีระบบภาษาไทย และช่องทางชำระเงินที่ครอบคลุม
จุดเด่น:
- ฟีเจอร์ Omnichannel ครบ (หน้าร้าน + ออนไลน์)
- รองรับ LINE, Facebook, IG และ TikTok Shop
- มีระบบ Loyalty Program
เหมาะกับ ร้านค้าไทยที่ขายทั้งออนไลน์และออฟไลน์ 🔗 shopline.com

8) Wix eCommerce – เริ่มไว เครื่องมือครบในแพลตฟอร์มเดียว
Wix เป็น CMS ที่ออกแบบมาสำหรับผู้เริ่มต้น มีเครื่องมือ Drag & Drop ใช้งานง่าย ตั้งร้านเสร็จได้ในไม่กี่นาที เหมาะกับร้านที่เน้นความสวยงามและแบรนด์ไลฟ์สไตล์ ฟีเจอร์ร้านค้าและแอปที่เกี่ยวข้อง พร้อมอัปเดตต่อเนื่อง เช่น ผนวก PayPal เข้ากับ Wix Payments และเชื่อม Pinterest เพื่อ social shopping
จุดเด่น:
- เทมเพลตสวยระดับพรีเมียม
- เชื่อมต่อ Social Commerce ได้
- มีระบบ SEO และ Analytics ในตัว
เหมาะกับ เจ้าของแบรนด์สินค้าแฟชั่น ไลฟ์สไตล์ หรือคาเฟ่ที่ต้องการเว็บสวยพร้อมขาย 🔗 wix.com/ecommerce

9) WooCommerce – ยืดหยุ่นสูงบน WordPress
WooCommerce เป็นปลั๊กอินที่แปลงเว็บไซต์ WordPress ให้กลายเป็นร้านค้าออนไลน์ ข้อดีคือยืดหยุ่น ปรับแต่งได้ตามใจ แต่ต้องมีความรู้เทคนิคเล็กน้อย
จุดเด่น:
- ควบคุมทุกส่วนของเว็บไซต์ได้ 100%
- มีปลั๊กอินเสริมหลายพันตัว
- เหมาะกับเว็บไซต์ที่เน้นคอนเทนต์และ SEO
เหมาะกับ บล็อกเกอร์ นักเขียน หรือธุรกิจที่มีทีมเทคนิคดูแลเว็บไซต์เอง 🔗 woocommerce.com

เช็กลิสต์ที่แบรนด์ไทยต้องให้ความสำคัญ
- ช่องทางชำระเงินท้องถิ่น: รองรับ PromptPay/Thai QR และกระเป๋าเงินยอดนิยม เพราะเป็นรางจ่ายเงินสำคัญของไทยและเชื่อมต่างประเทศมากขึ้น
- กฎหมายข้อมูลส่วนบุคคล: ปฏิบัติตาม PDPA ซึ่งมีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบตั้งแต่ 1 มิ.ย. 2022 และกำกับเข้มขึ้นในปี 2025
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม: อัตรา VAT 7% ขยายถึง 30 ก.ย. 2026 วางระบบภาษีให้สอดคล้อง
- Multi-Channel: ตรวจความสามารถเชื่อม Lazada, Shopee, LINE, TikTok, Facebook/Instagram Shop จากหลังบ้านเดียว
- ความปลอดภัย: หากเลือกแพลตฟอร์มแบบเป็นโฮสต์เอง ต้องมีแผนแพตช์สม่ำเสมอ เนื่องจากมีเคสช่องโหว่ถูกโจมตีในตลาดจริง
ขั้นตอนแนะนำก่อนตัดสินใจเลือก CMS
- ลิสต์สิ่งที่ร้านต้องการก่อน
เขียนรายการสิ่งที่อยากให้ระบบทำได้ ทั้งในมุมธุรกิจและเทคนิค ประมาณ 10–15 ข้อ เช่น ระบบจ่ายเงิน, เชื่อมมาร์เก็ตเพลส, หรือฟีเจอร์จัดโปรโมชั่น - ลองใช้งานจริง (Proof of Concept)
เลือกทดสอบ 2–3 แพลตฟอร์มที่สนใจ ลองใช้งานโฟลว์จริง ๆ เช่น
เพิ่มสินค้า → จ่ายเงินผ่าน PromptPay → พิมพ์ใบปะหน้า → ซิงก์ไป Shopee หรือ Facebook Shop เพื่อดูว่าระบบไหนตอบโจทย์การขายของคุณที่สุด - คำนวณต้นทุนรวมก่อนตัดสินใจ
รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดในระยะ 1–2 ปี เช่น- ค่าระบบหรือแพ็กเกจรายเดือน
- ธีม / ปลั๊กอิน / โฮสติ้ง
- ทีมงานหรือที่ปรึกษา
- ค่าธรรมเนียมรับชำระเงิน
- ตรวจเรื่องกฎหมายและภาษีก่อนเปิดร้านจริง
ตรวจให้แน่ใจว่าระบบรองรับการเก็บข้อมูลตาม PDPA และสามารถออกใบกำกับภาษี / คำนวณ VAT 7% ได้ถูกต้อง
FAQ
- CMS อีคอมเมิร์ซคืออะไร?
ระบบจัดการเว็บไซต์ร้านค้าและคอนเทนต์ในที่เดียว พร้อมเครื่องมือขายและการตลาด - LnwShop Pro จัดว่าเป็น CMS อีคอมเมิร์ซหรือไม่?
ใช่ เป็นแพลตฟอร์มร้านค้าออนไลน์ที่รวมการจัดการเว็บ สินค้า ช่องทางขาย และการชำระเงิน LnwPay - LnwShop Pro เป็น CMS ที่เจ้าของร้านต้องอัปเดตระบบเองไหม?
ไม่ เรามีทีมงานคอยดูแลระบบหลักให้ตลอดเวลา และคอยอัปเดตระบบอย่างสม่ำเสมอเพื่อความปลอดภัยในข้อมูลของร้านค้า - ทำไมเรื่อง PDPA สำคัญ?
กฎหมายมีผลแล้ว ต้องจัดการข้อมูลส่วนบุคคล โปร่งใส และแจ้งเหตุละเมิดภายในกรอบเวลา - VAT ตอนนี้คิดเท่าไร?
อัตรา 7% ต่ออีกหนึ่งปีจนถึง 30 ก.ย. 2026
แหล่งที่มาอ้างอิง
- Shopify Blog – 9 แพลตฟอร์ม CMS e-commerce ที่ดีที่สุดแห่งปี 2026
- ETDA Thailand – สถิติข้อมูลของ สพธอ
- ธนาคารแห่งประเทศไทย – ข้อมูลโครงการ PromptPay
- ราชกิจจานุเบกษา – พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562
- กรมสรรพากร – ประกาศขยายเวลาลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ถึง 30 กันยายน 2569


Leave a Comment