ทุกสิ้นปีคือช่วงที่ร้านค้าออนไลน์เร่งปิดยอด เคลียร์สินค้า และจัดโปรหนักที่สุดของปี ไม่ว่าจะเป็น 12.12, Christmas Sale หรือ End Year Sale ต่าง ๆ แต่รู้ไหมว่า “การเคลียร์สต็อกแบบลดราคาอย่างเดียว” นั้นช่วยเพิ่มยอดขายได้จริง แต่กลับไม่ค่อยช่วยให้ลูกค้ากลับมาซ้ำในปีถัดไป
นั่นคือเหตุผลที่หลายร้านเคลียร์ของหมด แต่เปิดปีใหม่แล้วยอดเงียบ เพราะปีที่ผ่านมาเราขายได้ แต่เราไม่ได้ลูกค้าเพิ่ม
บทความนี้ เราจะพาคุณมาดูวิธีเปลี่ยนสินค้าค้างสต็อกปี 2025 ให้เป็นเครื่องมือสร้างฐานลูกค้าในปี 2026 ด้วยการใช้ ฟีเจอร์ต่าง ๆ ของ LnwShop Pro แบบครบวงจร เพื่อให้การเคลียร์สต็อกปลายปีเป็นการลงทุนระยะยาว ไม่ใช่แค่โปรลดราคาสั้น ๆ ที่จบแล้วจบเลย
เคลียร์สต็อกปีนี้ = ลงทุนสร้างลูกค้าซ้ำปีหน้า
ปัญหาที่เกิดกับหลาย ๆ แบรนด์ส่วนใหญ่คือ…
- ลดราคา แต่ไม่ได้ลูกคาที่ใช่
- ขายได้ แต่ลูกค้าไม่เคยกลับมาซื้อซ้ำ
- สินค้าค้างสต็อกหมดไป แต่ไม่เพิ่มมูลค่าในอนาคต
- ลูกค้าซื้อเพราะโปร ไม่ได้ซื้อเพราะแบรนด์
ซึ่งปัญหานี้ สามารถแก้ไขได้ด้วยการวางระบบ ให้คุณสามารถเคลียร์ของ + ได้ลูกค้าซ้ำพร้อมกัน เพราะมีเครื่องมือช่วยต่อยอดหลังการขาย
เป้าหมายของกลยุทธ์นี้ คือ
- เคลียร์สต็อกปี 2025 ให้คุ้มที่สุด
- ทำให้ลูกค้ารู้จักสินค้าใหม่ในร้าน
- สร้างกลุ่มลูกค้าทดลอง (Trial Buyers)
- เปลี่ยน Trial เป็น Repeat Buyer ภายในต้นปี 2026
- ใช้ CRM วางกลยุทธ์ขายซ้ำแบบอัตโนมัติ
นี่คือ Mindset ที่เราอยากให้แบรนด์ต่าง ๆ นำไปใช้ เพื่อมองหาแนวทางเติบโตในระยะยาว
ฟีเจอร์ตัวเก่ง ช่วยดึงลูกค้าที่มีโอกาสซ้ำได้
เทคนิคนี้ออกแบบโดย LnwShop Pro ที่จะช่วยคุณคุมราคา คุมชุดสินค้า และตั้งราคาให้ จูงใจลูกค้าใหม่ แต่ยังรักษากำไรได้ในปีถัดไป จะทำอย่างไร ไปติดตาม
1. ใช้ Set Product เคลียร์สต็อกแบบมีเหตุผล ไม่ใช่ลดราคาไร้ทิศทาง

สร้างเซตสินค้าที่มีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน เช่น
– เซตทดลองรู้จักแบรนด์ (Discovery Set)
จัดเซตสินค้า:
- สินค้าค้างสต็อก
- สินค้าขายดี
- Special Voucher สำหรับการซื้อครั้งหน้า
ทำงานยังไง?
- ลูกค้าซื้อเพราะสินค้าขายดี
- ได้ทดลองใช้สินค้าค้างสต็อกแบบต้นทุนต่ำ
- คุณได้ข้อมูลพฤติกรรมการซื้อในระบบ CRM
- มีโอกาสดึงกลับมาซื้อซ้ำได้ในต้นปี 2026 ผ่าน Voucher
เหมาะกับร้าน:
- Skincare
- Home Care
- Lifestyle
- Fashion (เซ็ต mix & match)
– เซตของขวัญคริสต์มาส / 12.12 Gift Set
จัดเซตสินค้า:
- สินค้าที่เข้ากับเทศกาล (เช่น เทียนหอม, ชุดดูแลตัวเอง, ชากาแฟ)
- รวมสินค้าค้างสต็อกไว้อย่างแนบเนียน
- แพ็กในกล่องของขวัญ
ประโยชน์:
- ลูกค้ารู้สึกว่าซื้อเซตของขวัญ ไม่ใช่สินค้าลดราคา
- เพิ่มยอดสั่งซื้อเฉลี่ย
- เคลียร์ของค้างสต็อกแบบไม่ทำลายแบรนด์
- ดึงลูกค้านอกกลุ่มมาซื้อเป็นของขวัญได้อีก
2. ใช้ Add-on เพิ่มมูลค่าตะกร้า และเคลียร์สต็อกตามเป้า

ตัวอย่างการใช้งาน:
– แลกซื้อสินค้า 9–29 บาท (Add-on ต้นทุนต่ำแต่ผลลัพธ์สูง)
เงื่อนไขแนะนำ:
- ซื้อสินค้าปกติครบ X บาท แลกซื้อสินค้าค้างสต็อกราคา 9 บาท
ผลที่ได้:
- ลูกค้ารู้สึกได้ของคุ้มมาก
- คุณดันยอดตะกร้าเฉลี่ยได้จริง
- สินค้าค้างสต็อกได้เข้าไปอยู่ในบ้านลูกค้า
- มีโอกาสส่งแคมเปญซื้อซ้ำ ในเดือนมกราคม
Add-on แบบนี้ร้านใหญ่ใช้กันเยอะ เพราะต้นทุนหน่วยถูก แต่ความรู้สึกคุ้มค่าสูงมาก
– Add-on บริการพิเศษช่วงเทศกาล
ตัวอย่าง:
- ห่อของขวัญ
- การ์ดเขียนข้อความ
- การ์ดปีใหม่/ข้อความจากแบรนด์
- Premium Packaging
สร้างความแตกต่างแบบไม่ต้องลดราคา กระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อเพราะบริการมากกว่าโปรโมชั่นที่ลดแรงแต่ไม่น่าจดจำ
กลยุทธ์ CRM เพื่อให้ลูกค้ากลับมาใน Q1 ปีหน้า

เคลียร์สต็อกเสร็จแล้ว ไม่ใช่ว่าจบ เพราะจุดที่ทำให้ LnwShopPro พิเศษกว่าร้านทั่วไปคือ ข้อมูลหลังการขาย
1. แยกลูกค้าที่มีโอกาสซ้ำสูงที่สุด
ดูข้อมูลจากระบบหลังบ้านว่า ลูกค้าคนไหนบ้างที่ซื้อสินค้าในแคมเปญของเรา เพราะลูกค้าเหล่านี้ อาจจะ
- เพิ่งรู้จักแบรนด์
- เพิ่งทดลองใช้สินค้า
- ลงทุนครั้งแรกกับคุณแล้ว
- มีโอกาสกลับมาซื้อซ้ำ สูงกว่ากลุ่มทั่วไปถึง 2–3 เท่า
ระบบหลังบ้านของ LnwShop Pro ช่วยให้คุณเก็บข้อมูลลูกค้าอัตโนมัติโดยไม่ต้องนั่งทำเอง
2. Educate Campaign (ส่งภายใน 7 วันหลังได้รับสินค้า)
อย่าปล่อยให้ลูกค้าซื้อแล้วเก็บ ต้องช่วยให้เขา “ใช้เป็น — ใช้เร็ว — ใช้ดี” ด้วยเนื้อหากระตุ้นการเปิดใช้งาน
ตัวอย่างเนื้อหา:
- วิธีใช้สินค้าในเซ็ตให้ได้ผลที่สุด
- คลิป 30–60 วินาทีสอนการใช้งาน
- ทริกเล็ก ๆ ที่ทำให้สินค้าดูมีคุณภาพมากขึ้น
- ใบรับรอง, สารสกัด, วิธีเก็บรักษา
- คู่มือการใช้สินค้าให้ดี และจะดียิ่งขึ้นถ้าใช้กับสินค้าตัวอื่น (กระตุ้นซื้อสินค้าตัวอื่นต่อ)
ประโยชน์:
- ลดอัตราสินค้าถูกวางทิ้ง
- เพิ่มความพึงพอใจ
- เพิ่มโอกาสซื้อซ้ำตามธรรมชาติ
ซึ่งคุณสามารถดูข้อมูลจากหลังบ้านได้ว่า สินค้าตัวไหนถูกซื้อมากที่สุด และเจ้าะกลุ่มทำคอนเทนต์เพื่อสินค้าตัวนั้นก่อน แล้วค่อยทำเนื้อหาอื่น ๆ ตามลำดับ หรือสามารถใช้ข้อมูลของแคมเปญเก่ามาดูสิว่า สินค้าตัวไทนที่เป้นที่สนใจของลูกค้า และทำเนื้อเตรียมไว้ สำหรับส่งให้ลูกค้าในแคมเปญใหม่ ๆ
3. Retention Campaign (ส่งหลังซื้อ 30–45 วัน)
ช่วงปลายมกราคม–กุมภาพันธ์ เป็นช่วงทองของการเตือนความจำ เพราะลูกค้าอาจจะเว้นว่างจากช่วงเทศกาล, เริ่มมีงบช้อปปิ้งมากขึ้น หรือกำลังมองหาของใช้ต้นปี
สิ่งที่เราควรส่งให้ลูกค้าในช่วงนี้ คือ
- คูปองเฉพาะบุคคล
- ข้อเสนอเฉพาะกลุ่มทดลองใช้
- ส่วนลดสินค้าขายดีที่ไม่ใช่สินค้าค้างวต็อก
- โปรกลับมาซื้อครั้งแรกในปี 2026
สำคัญมากคือ ห้ามลดสินค้าที่อยู่ในเซตเดิม เพราะลูกค้าควรกลับมาซื้อสินค้าที่ทำให้เค้ารู้สึกคุ้มค่า หรือได้รับกำไรมากขึ้น
วัดผล & วางแผนสต็อกปีหน้า
สิ่งที่แบรนด์ควรดูไม่ใช่ข้อมูลที่บอกว่า ยอดขาย 12.12 สูงแค่ไหน แต่ควรเป็นข้อมูลที่บอกเราว่า ยอดขายมาจากใครมากกว่า เพราะสิ่งนี้จะช่วยให้คุณวางแผนเข้าถึงลูกค้าที่ใช่ของคุณได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
KPI ที่ควรดูในปี 2026
- อัตราการซื้อซ้ำของกลุ่มผู้ทดลองซื้อ
- อัตราการกดสินค้า Add-on
- ยอดขายหลังแคมเปญ Educate
- จำนวนลูกค้าที่ซื้อสินค้าขายดีซ้ำ
นำข้อมูลไปวางแผนปีหน้า
- ถ้าสินค้าค้างสต็อกในปีนี้ → อยู่ใน Set แล้วลูกค้าซื้อซ้ำ อาจแปลว่า… ของไม่ได้ขายไม่ออก แต่คุณแค่ไม่มีโอกาสให้ลูกค้ารู้จักสินค้า
- ถ้า Add-on ขายดีมาก → ใช้เป็นข้อเสนอพิเศษให้ลูกค้าได้ตลอดปี
- ถ้ากลุ่มที่ได้รับการ Educate กลับมาซื้อซ้ำเยอะ → ควรลงทุนทำ Content เพิ่ม
บทสรุป เคลียร์สต็อกแบบ Pro คือกำไรปีหน้า
กลยุทธ์นี้ทำให้การเคลียร์สต็อกปี 2025 กลายเป็น การสร้างฐานลูกค้าในปี 2026 แบบมีระบบ
- Set Product ช่วยเคลียร์ของอย่างคุ้มค่า
- Add-on ช่วยเพิ่มยอดและดึงลูกค้าใหม่
- CRM ช่วยดึงลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำโดยอัตโนมัติ
และทั้งหมดนี้สามารถทำได้ในหลังบ้านเดียวคือ LnwShop Pro
สนใจใช้งานระบบบริการจัดการร้านค้าเพื่อธุรกิจออนไลน์แบบครบวงจร ปรึกษาทีมธุรกิจของเราที่ LnwShop Pro

Leave a Comment